กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ลูก หลาน ใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุในครอบครัว
ให้ลดกินอาหารที่มีรสหวาน และความแข็ง มุ่งเน้นกินผักผลไม้ที่มีกากใย ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ส่วนผู้ที่ใส่ฟันเทียมต้องทำความสะอาดหลังอาหารทุกครั้ง
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มวัยที่ประสบปัญหาสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะการสูญเสียฟันมากกว่าครึ่งของผู้สูงอายุ เพื่อการบดเคี้ยวอาหาร ลูกหลานจึงต้องใส่ใจสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุเป็นพิเศษ จากการตรวจพบโรคในช่องปากที่ไม่ได้รับการรักษาและมีโอกาสสูญเสียฟันเพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจสภาวะทันตสาธารณสุข ในปี 2560 พบว่า ร้อยละ 52.6 เป็นโรคฟันผุที่ยังไม่ได้รับการรักษา ร้อยละ 36.3 เป็นโรคปริทันต์ และร้อยละ 16.5 เป็นรากฟันผุ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 18 ต้องการใส่ฟันเทียมบางส่วน ร้อยละ 6.5 ต้องการใส่ฟันเทียมทั้งปาก และเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นร้อยละ 18.9 ในผู้สูงอายุ 80-85 ปี ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่มีการสูญเสียฟันสูงที่สุด พบค่าเฉลี่ยฟันแท้ที่มีในช่องปากประมาณ 19 ซี่/คน และจากข้อมูลใน HDC ปี 2563 ผู้สูงอายุกว่า ร้อยละ 40 เหลือฟันใช้งานไม่ถึง 20 ซี่ การส่งเสริมให้คนไทยดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เด็กจนเข้าสู่วัยสูงอายุ จะช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากได้ โดยควรลดกินอาหารหวาน เหนียว เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะเกาะติดผิวฟันเป็นเวลานาน ทำความสะอาดยากเสี่ยงเกิดฟันผุ
และควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เพราะอาจทำให้ฟันแตกขณะเคี้ยวได้ ให้เน้นกินผักผลไม้ที่มีกากใยแทน ด้านทันตสาธารณสุขกล่าวเสริมว่า ผู้สูงอายุที่เหลือฟันแท้น้อยกว่า 20 ซี่ และใส่ฟันเทียมทดแทน ต้องถอดออกมาทำความสะอาดหลัง กินอาหารทุกมื้อ ก่อนนอนให้ถอดออกแช่น้ำสะอาดทุกครั้ง และควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจสภาพฟัน เหงือก รวมทั้งเนื้อเยื่อในช่องปากและซ่อมเสริมฟันเทียมให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ไม่หลวมหรือคมจนเหงือกและลิ้นเป็นแผล เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี
แหล่งข้อมูล : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/07/156945/